สำหรับบางคนที่เข้ารับบริการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ในคลินิกเสริมความงาม ไม่ว่าจะเพื่อลดกราม ลดริ้วรอย ยกกระชับหน้า ฯลฯ แต่กลับไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ หรือฉีดโบท็อกซ์ไม่ได้ผล นั่นแปลว่าคุณอาจจะมี ‘อาการดื้อโบท็อกซ์ (Botox)’ ก็เป็นได้

 

            อาการดื้อโบท็อกซ์ (Botox) คืออะไร

            อาการดื้อโบท็อกซ์ (Botox) คือ เมื่อผู้เข้ารับบริการได้รับการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ไปแล้ว ไม่ว่าจะเพื่อลดกราม ลิฟต์กรอบหน้า หรือลดริ้วรอย กลับไม่เห็นผลตามช่วงเวลาที่โบท็อกซ์ควรออกฤทธิ์ (ประมาณ 2 สัปดาห์) หรือโบท็อกซ์ (Botox) ออกฤทธิ์น้อย หรือฤทธิ์ของโบท็อกซ์ (Botox) เสื่อมเร็ว

 

            สาเหตุของอาการดื้อโบท็อกซ์ (Botox)

            อาการดื้อโบท็อกซ์ (Botox) นั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากการให้บริการของคลินิกเสริมความงาม ตัวโบท็อกซ์ (Botox) รวมไปถึงร่างกายของผู้เข้ารับบริการเอง ดังนี้

  • ตัวยาไม่ได้มาตรฐาน ยาปลอม หรือหมดอายุ ส่งผลให้ตัวยาไม่ออกฤทธิ์ ฤทธิ์ยาเสื่อม หรือยากระจายตัวได้ไม่ดี ทำให้ได้ผลลัพธ์ไม่ตรงตามที่คาดหวัง นอกจากนี้การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ที่ไม่ได้มาตรฐานยังอาจทำให้มีสารตกค้างในร่างกายจนร่างกายต่อต้าน ทำให้แม้ภายหลังจะฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ของแท้ที่ได้มาตรฐานแล้ว โบท็อกซ์ (Botox) ก็อาจไม่ออกฤทธิ์

 

  • ฉีดไม่ถูกตำแหน่ง เนื่องจากโบท็อกซ์ (Botox) จะออกฤทธิ์ต่อกล้ามเนื้อ ซึ่งหากผู้ทำหัตถการไม่เชี่ยวชาญพอ อาจฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ไม่ถูกกล้ามเนื้อในตำแหน่งที่ควร ตัวยาจึงไม่ออกฤทธิ์ในบริเวณที่ฉีด

 

  • ฉีดโบท็อกซ์ (Botox) มากหรือถี่จนเกินไป การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการลดริ้วรอย ลดกราม ลิฟต์กรอบหน้า ฯลฯ ควรเว้นระยะประมาณ 3 – 4 เดือน ถ้าหากฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ถี่เกินไป ร่างกายของเราจะต่อต้านโดยการสร้างภูมิคุ้มกันออกมา จนทำให้โบท็อกซ์ (Botox) ไม่ได้ผลอีกต่อไป

 

  • ร่างกายของผู้เข้ารับบริการสร้างภูมิคุ้มกันออกมาต่อต้านเอง แม้ว่าการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่โบท็อกซ์ (Botox) ก็นับว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมประเภทหนึ่ง ซึ่งร่างกายของผู้เข้ารับบริการบางคนอาจมองว่าโบท็อกซ์ (Botox) เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องกำจัดหรือต่อต้าน จึงสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา ทำให้โบท็อกซ์ (Botox) ไม่ออกฤทธิ์

 

อาการดื้อโบท็อกซ์ (Botox) เป็นอันตรายหรือไม่

การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อการลดริ้วรอย ลิฟต์กรอบหน้า ยกกระชับหน้า หรือลดกรามแล้วเกิดอาการดื้อโบท็อกซ์ (Botox) นั้นไม่มีอันตรายแต่อย่างใด ทว่าส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้เข้ารับบริการมากกว่า เพราะได้ผลลัพธ์ไม่เป็นดังหวัง และต้องเสียเงินเสียทองโดยใช่เหตุ

 

            วิธีป้องกันไม่ให้เกิดอาการดื้อโบท็อกซ์ (Botox)

            แม้ว่าอาการดื้อโบท็อกซ์ (Botox) จะเกิดขึ้นได้แม้กับโบท็อกซ์ (Botox) ของแท้ที่ได้รับการรับรอง แต่ก็สามารถป้องกันได้ดังนี้

  • เลือกเข้ารับบริการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ในคลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน เพื่อจะได้ฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ของแท้ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ซึ่งจะช่วยลดโอกาศเกิดอาการดื้อโบท็อกซ์ (Botox) ได้
  • เลือกแพทย์ผู้ทำหัตถการเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีใบรับรองจริงๆ โดยสามารถนำชื่อของแพทย์ที่จะทำหัตถการไปเช็กได้ในเว็บไซต์ของแพทยสภา (https://checkmd.tmc.or.th/)
  • อย่าฉีดโบท็อกซ์ถี่จนเกินไป ควรเว้นระยะเวลาให้ฤทธิ์ของโบท็อกซ์ (Botox) สลายไปในระดับหนึ่งก่อนอย่างน้อย 3 – 4 เดือน เพื่อให้ร่างกายไม่รีบสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านโบท็อกซ์ (Botox)

 

หากต้องการเข้ารับคำปรึกษาเรื่องการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สามารถติดต่อสอบถามทาง KeThat Clinic ได้ทางช่องทางต่อไปนี้

Facebook : https://www.facebook.com/kethatclinic

Website: https://kethat.com/price-promotion/

LINE: @kethat (มี @ นำหน้า)